ในยุคปัจจุบัน Work-Life Balance ไม่ได้หมายถึงแค่การแบ่งเวลาให้เท่ากันระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวอีกต่อไป แต่มันลึกซึ้งและซับซ้อนกว่านั้น ซึ่งแท้จริงแล้วเราควรมองว่า Work-Life Balance คือ
“การที่บุคคลสามารถจัดการพลังงาน เวลา และทรัพยากรของตนเองได้อย่างมีความหมาย โดยคำนึงถึงคุณค่าและเป้าหมายในทุกมิติของชีวิต”

“สมดุล” ไม่ได้แปลว่าต้องเท่ากันเสมอ
การแบ่งเวลาให้งานและชีวิตส่วนตัวอย่างเท่าเทียมกัน คือการจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสมตามบริบทของชีวิต ในบางช่วงเราอาจต้องทุ่มเทให้งานมากกว่า ในขณะที่บางช่วงอาจต้องให้เวลากับครอบครัว สุขภาพ หรือการพัฒนาตัวเองมากกว่า

ขอบเขตที่ยืดหยุ่นคือ กุญแจสำคัญ
ในยุคดิจิทัลที่การทำงานและชีวิตส่วนตัวแทบจะแยกจากกันไม่ได้ การตั้งขอบเขตที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็น แทนที่จะพยายามแยกงานกับชีวิตออกจากกันโดยสิ้นเชิง เราควรที่จะเรียนรู้การบริหารขอบเขตอย่างชาญฉลาด ไม่ให้ด้านใดด้านหนึ่งรุกล้ำจนกระทบต่อคุณภาพชีวิตโดยรวม

คุณภาพของเวลา สำคัญกว่าปริมาณ
การใช้เวลากับครอบครัวเป็นชั่วโมงแต่ยังคงกังวลเรื่องงานอาจไม่มีความหมายเท่ากับการใช้เวลาเพียง 30 นาที แต่มีสมาธิและคุณภาพในการอยู่ร่วมกัน Work-Life Balance ยุคใหม่จึงเน้นไปที่การใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่แค่การนับจำนวนชั่วโมง
ดังนั้นแทนที่จะถามว่า “ฉันจะแบ่งเวลาระหว่างการทำงานกับการใช้ชีวิตอย่างไร?” เราควรถามว่า “ฉันจะออกแบบชีวิตอย่างไรให้ทุกส่วนเกื้อหนุนกัน และนำไปสู่ความเติมเต็มในระยะยาว?”
แล้วคุณล่ะ ได้ออกแบบ Work-Life Balance ของตัวเองอย่างไรแล้วบ้าง?
อ้างอิง
TED Talks: Rethinking Work-Life Balance