จากรายงานของกรมสุขภาพจิต ปี 2566 ระบุว่า “คนวัยทำงาน” คือกลุ่มที่มีความเสี่ยงเรื่องสุขภาพจิตมากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 25–45 ปี ซึ่งมีแนวโน้ม ประสบภาวะเครียด ซึมเศร้า และหมดไฟในการทำงาน (Burnout) มากขึ้นเรื่อย ๆ
“ความเครียดในที่ทำงาน ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะสามารถส่งผลกระทบทั้งร่างกายและจิตใจ เช่น ปวดหัวเรื้อรัง นอนไม่หลับ สมาธิสั้น หรือแม้กระทั่งภาวะซึมเศร้า”
สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม
หากคุณเริ่มรู้สึกแบบนี้บ่อย ๆ… อาจถึงเวลาที่ต้องหันกลับมาดูแลใจของตัวเอง
– ตื่นเช้ามาแล้วไม่อยากไปทำงานเลย
– รู้สึกเหนื่อยล้า แม้งานจะยังไม่เริ่ม
– หงุดหงิดง่าย ขาดแรงจูงใจ
– ไม่มีสมาธิในการทำงาน
– อยากอยู่คนเดียว ไม่อยากพูดกับใคร
– รู้สึกหมดคุณค่าในตัวเอง
วิธีดูแลสุขภาพจิตในช่วงทำงานหนัก
– ตั้งขอบเขตการทำงาน (Work-Life Boundaries) แยก “งาน” และ “ชีวิตส่วนตัว” ออกจากกันให้ชัด เช่น เลิกงานแล้วไม่ตอบแชทงาน หรือหยุดพักจริง ๆ เมื่อถึงวันหยุด
– จัดการเวลาและงานอย่างมีระบบ การใช้เครื่องมือช่วยวางแผนงาน เช่น Notion, Trello, หรือ To-Do List จะช่วยให้ไม่รู้สึกว่างาน “ท่วม” ตลอดเวลา
– อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ หากรู้สึกว่าใจไม่ไหวจริง ๆ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักจิตวิทยา หรือสายด่วนสุขภาพจิต 1323
– พักบ้างอย่างมีคุณภาพ หากิจกรรมที่ช่วยรีเฟรชจิตใจ เช่น ออกกำลังกาย ดูหนัง ฟังเพลง หัดวาดรูป หรือแม้แต่นอนหลับให้พอ
สายด่วนและแหล่งให้คำปรึกษาฟรี
– สายด่วนสุขภาพจิต 1323 (โทรฟรี 24 ชม.)
– Happinest by DMH แอปพลิเคชันของกรมสุขภาพจิต
– Mind by TNP เว็บไซต์ให้คำปรึกษาโดยนักจิตวิทยา
– Mental Health Check Up แบบประเมินสุขภาพจิตเบื้องต้นจากกรมสุขภาพจิต
ขอบคุณข้อมูลจาก
กรมสุขภาพจิต. (2566). รายงานสถานการณ์สุขภาพจิตประเทศไทย. https://www.dmh.go.th
WHO (2022). Mental health and work. Retrieved from https://www.who.int
Harvard Business Review (2021). Burnout is about your workplace, not your people