‘หรือศรีสะเกษจะเสียดินแดน เสียเขาพระวิหาร เพราะทนายทักษิณ ปกปิดข้อมูล หากคนในพื้นที่นิ่งเฉย หากคนพื้นที่เฉยเมย หากคนในพื้นที่อ้างว่าธุระไม่ใช่ เราภูมิใจแล้วหรือ ที่เป็นเจ้าของพื้นที่จังหวัดเขาพระวิหาร เอาเขาพระวิหารของชาวศรีสะเกษคืนมา’
ข้อความส่วนหนึ่งจาก Webborad webside จ.ศรีสะเกษ http://www.sisaket.go.th
‘ขอย้ำเตือนเพื่อกระตุ้นรัฐบาลไทย และให้ประชาชนชาวไทยเจ้าของประเทศได้ตระหนักว่า ๑๕ มิ.ย. ๒๕๐๕ หรือ ปี ค.ศ. ๑๙๖๒ ประเทศไทย เราได้สูญเสียตัวปราสาทเขาพระวิหารให้กับกัมพูชาไปแล้ว ดังนั้นปี ค.ศ.๒๐๐๘ ประเทศไทยจะต้องไม่เสียดินแดนอีก กัมพูชาต้องรื้อถอนร้านค้า บ้านพัก และ วัด ออกไปจากเชิงเขาพระวิหาร ซึ่งเป็นเขตแดนไทย’
ผู้จัดการออนไลน์ ข่าวภูมิภาค ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๑ www.manager.co.th
ข้อความข้างต้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของข่าวคราวและกระแสเรื่องปัญหาปราสาทเขาพระวิหาร ที่หวนกลับมาอีกครั้งหลังเงียบหายไปกว่า ๔ ทศวรรษ ปัญหาปราสาทเขาพระวิหารครั้งนี้มีต้นตอของปัญหามาจากประเทศกัมพูชาเสนอต่อยูเนสโก (UNESCO) ให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ในที่ประชุมใหญ่ยูเนสโกประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ทำให้กองไฟแห่งปัญหาซึ่งคาดว่ามอดดับไปแล้วกลับได้ลมเข้าโหมให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
เหตุใดปัญหาเขาพระวิหารจึงเป็นประเด็นอ่อนไหวในความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาทั้งที่ข้อพิพาทต่างๆ นานา น่าจะยุติลงภายหลังคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๕ แล้วมีหนทางใดบ้างแก้ปัญหาเขาพระวิหารให้ยุติลงได้อย่างแท้จริง
เพื่อทำความเข้าใจต่อประเด็นปัญหาและหนทางแก้ไข ทางมูลนิธิเล็ก – ประไพ วิริยะพันธุ์ จึงได้จัดเสวนาเรื่อง “เขาพระวิหาร : ระเบิดเวลาจากยุคอาณานิคม”เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๑ ที่ผ่านมา โดยมีรองศาสตราจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ที่ปรึกษามูลนิธิเล็ก – ประไพ วิริยะพันธุ์ สาระสำคัญประการหนึ่งจากการเสวนาในครั้งนี้ อยู่ที่ข้อเสนอของอาจารย์ศรีศักร ในการแก้ไขปัญหาปราสาทเขาพระวิหาร ที่เสนอให้พื้นที่ปราสาทเขาพระวิหารเป็น “No Man’s Land” โดยยกเลิกเส้นเขตแดนทำพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหารให้ไม่มีประเทศใดเป็นเจ้าของ เพื่อให้ยูเนสโกในฐานะคนกลางเข้ามาจัดการอาณาเขตพื้นที่มรดกโลกว่ามีอาณาเขตเท่าใดเสร็จแล้ว ต่อจากนั้นจึงค่อยให้ทั้ง ๒ ประเทศเข้ามาจัดการบริหารพื้นที่ร่วมกันเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ เป็นการยุติความขัดแย้งข้อพิพาททั้งหลายลงด้วยสันติวิธี
หากข้อเสนอของอาจารย์ศรีศักร ดังกล่าวข้างต้นนั้นอาจถูกตั้งคำถามได้ว่าสามารถนำไปใช้ได้จริงหรือไม่ เนื่องดูเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตอบสนองต่อโลกความเป็นจริงการเมืองระหว่างประเทศทว่าผู้เขียนกลับเห็นว่าข้อเสนอ “No Man’s Land” สามารถทำให้เป็นจริงขึ้นได้ โดยงานเขียนเล็กๆ ชิ้นนี้จึงเป็นความพยายามที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของข้อเสนอ No Man’s Land
No Man’s Land เขาพระวิหารที่ (จะ) เป็นจริงได้
ปรับพรมแดน เปลี่ยนโลกทัศน์
การทำความเข้าใจกับคำว่า No Man’s Land ก่อนอื่นเราควรทลายกำแพงของโลกทัศน์,ทัศนคติ ที่มีต่อเขตแดนหรืออาณาเขต,ความเป็นรัฐชาติ ที่มีอยู่ออกไป เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นชุดความรู้ใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นในสังคมไทยเมื่อกว่าศตวรรษที่ผ่านมา พร้อมกับการเข้ามาของจักรวรรดินิยมตะวันตก ในสมัยอาณานิคม รวมทั้งชุดความรู้ประวัติศาสตร์ไทยที่สร้างความยิ่งใหญ่ของรัฐไทยที่มีประวัติความเป็นมายาวนานและยิ่งใหญ่ จนมองข้ามผู้คนหรือเพื่อนบ้านที่อยู่ร่วมภายใน ทั้งที่ลักษณะของรัฐหรือบ้านเมืองต่างๆ ในภูมิภาคนี้ก่อนเข้าสู่สมัยใหม่ก็ไม่ได้มีใครเป็นเจ้าของหรือผู้ปกครองอย่างเต็มที่ กลุ่มอำนาจของเมืองอื่นๆ นั้นก็สัมพันธ์กันอยู่ด้วยจารีตการปกครองบางอย่างในการยอมรับอำนาจบารมีที่เหนือกว่าของผู้นำกลุ่มนั้นๆ ซึ่งความสัมพันธ์เช่นนี้มิได้หยุดนิ่งตายตัวแต่กลับมีความผันแปรไปตามพลวัตของอำนาจไหลเวียนไปในแต่ละช่วงเวลา
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วมีความจำเป็นใดต้องบาดหมางอย่างรุนแรงจนนำสู่การรบราฆ่าฟัน เพื่อรักษาเส้นพรมแดนที่มองไม่เห็น ฉะนั้นในส่วนต่อไปเราพิจารณาว่าปัจจุบันบริเวณพรมแดนของประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านมีพื้นที่เป็น No Man’s Land ปรากฏอยู่บ้างหรือไม่
“ไหลมอง” บ.ท่าค้อ : No Man’s Land กลางลำน้ำโขง
ไหลมอง คือ ชื่อใช้เรียกวิธีการจับปลารูปแบบหนึ่งของคนอีสาน มีลักษณะการล่องเรือสวนกระแสน้ำขึ้นไปและปล่อยให้เรือไหลตามสายน้ำโดยระหว่างนั้นปล่อย “มอง” (อวนชนิดหนึ่ง) ลงน้ำเพื่อจับปลา เมื่อล่องเรือถึงจุดหนึ่งแล้วก็ลากมองขึ้นเรือและเข้าฝั่งคอยไหลรอบต่อไป
การไหลมองที่ผู้เขียนได้พบเห็นเมื่อคราวลงสำรวจภูมิวัฒนธรรมริมฝั่งแม่น้ำโขง ณ บ้านท่าค้อ อ.เมือง จ.นครพนม เป็นการไหลมองลักษณะพิเศษที่เป็นกิจกรรมร่วมกันระหว่างคน ๒ ฝั่งแม่น้ำโขง โดยคนทั้ง ๒ ฝั่งแม่น้ำโขงหรือฝั่งไทยกับฝั่งลาวผลัดปล่อยเรือออกไปไหลมอง คือเมื่อฝั่งไทยออกไปไหลมองและนำเรือกลับเข้าฝั่ง (ไทย) แล้วทางฝั่งลาวก็ล่องเรือออกมาไหลมองต่อ สลับผลัดเปลี่ยนกันเช่นนี้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง การที่ทั้งสองฝั่งต้องผลัดกันออกไปไหลมอง เนื่องจากบริเวณการไหลมองที่บ้านท่าค้อต้องทำกันอยู่บริเวณล่องน้ำลึกของแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศลาว จึงเป็นตัวกำหนดให้ทั้งผู้คนทั้งสองฝั่งต้องผลัดกันออกมาไหลมองบนเส้นเขตแดน
การลงพื้นที่สำรวจภูมิวัฒนธรรมริมฝั่งแม่น้ำโขงครั้งนั้น สิ่งหนึ่งที่ได้พบเจอมาตลอดเส้นทาง คือ คำกล่าวของชาวบ้านที่ว่า “คนฝั่งโน้น ก็พี่น้องกันทั้งนั้นละ” หรือในครั้งสำรวจพื้นที่ด่านซ้ายช่วงเดือนเมษายน ๒๕๕๑ ที่พรมแดนไทย – ลาว บ้านเหมืองแพร่ อ.นาแห้ว จ.เลย ที่มีลำน้ำเหืองเป็นเส้นพรมแดน จากการพูดคุยกับชาวบ้านแถบนั้นก็ได้รับคำบอกเล่าที่คล้ายคลึงกันว่า “ฝั่งลาวก็พี่น้องกันทั้งนั้นละ แต่บางคนเขาข้ามมาไม่ทัน บางคนเขาก็ห่วงที่ดินที่นาฝั่งโน้นก็เลยไม่ข้ามมาฝั่งไทย ทุกวันนี้เวลามีงานมีหรือเทศกาลก็ข้ามไปเรื่อยๆ ล่ะ” ที่บ้านเหมืองแพร่หากเดินทางต่อไปอีกไม่กี่สิบกิโลเมตร ก็ถึงบ้านร่มเกล้าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสมรภูมิสงครามระหว่างไทยกับลาวเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๑
จากข้อเสนอ No Man’s Land ของอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม เพื่อแก้ปัญหาข้อพิพาทเขาพระวิหาร สามารถเกิดขึ้นได้จริงเพียงแต่เราต้องทลายกำแพงวิธีคิดความรับรู้เกี่ยวกับอำนาจอันทรงพลังของเส้นพรมแดน ตลอดจนเรียนรู้ที่เข้าใจประวัติศาสตร์ที่ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ชาติไทยที่แสนยิ่งใหญ่ จนเบียดเบียนคนและประเทศเพื่อนบ้านไปหมดจากหน้าประวัติศาสตร์ เมื่อนั้นเราก็เห็นว่า No Man’s Land บนเขาพระวิหารนั้นไม่ใช่สิ่งเกิดขึ้นไม่ได้ แต่อุปสรรคสำคัญของแก้ปัญหาด้วย No Man’s Land นั้นไม่ใช้เส้นพรมแดนบนแผนที่ทับซ้อนหรือแผนที่คนละฉบับ หากอยู่ที่พรมแดนในใจของคนที่ต้องปลดแอกตนเองออกจากสำนึกที่ตกถอดจากยุคอาณานิคม เพื่อก้าวข้ามให้พ้น “ระเบิดเวลาจากยุคอาณานิคม” และระเบิดลูกใหม่ๆ ที่กำลังตามมาจากข้อขัดแย้งเรื่องพรมแดนกับประเทศเพื่อนบ้านรอบข้าง ทั้งที่เหตุการณ์และเวลาก็ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าที่ผ่านมาการพยายามเข้าหามิตรประเทศมหาอำนาจตะวันตก ไม่ได้ก่อประโยชน์อย่างยั่งยืนจริงแก่ไทยเลย กลับทำให้ไทยต้องแตกแยกออกจากเพื่อนบ้าน ทั้งที่การมีเพื่อนบ้านที่ดีสุดให้แก่บ้าน
ส่งท้าย
จากเหตุการณ์ข้อพิพาทครั้งใหม่เรื่องปราสาทเขาพระวิหารนี้ ทำให้ผู้เขียนย้อนนึกกลับไปถึงภาพของ ทอมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) กำลังขะมักเขม้นบรรจงวาดเส้นพรมแดนใหม่บนแผนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในสารคดีชุดการบุกเบิกสำรวจที่ราบลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิบปี (Mississippi River) ภายใต้เส้นพรมแดนที่ถูกขีดขึ้นใหม่ นำมาซึ่งชีวิตของคนผิวขาวและชนเผ่าอินเดีย คนพื้นเมืองที่รบราฆ่าฟันจนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก เหตุใดเส้นสมมติที่มองไม่เห็นและปรากฏอยู่ในแผนที่เท่านั้น กลับมีพลังอำนาจมากมายอย่างล้นเหลือจนส่งผลต่อวิถีชีวิตของผู้คน หรือเรื่องเหล่านี้เพียงไม่ใช้เพราะเส้นในแผนที่ เป็นเส้นแบ่งในใจเราต่างหากที่ทำให้มันมีพลัง?
ผู้เขียน: ผศ.ปิยชาติ สึงตี