บทความโดย อาจารย์ธีรวัฒน์ กล่าวเกลี้ยง หัวหน้าสาขาวิชาภาษาไทย สำนักวิชาศิลปศาสตร์
ความกดอากาศ
อากาศเป็นสสารจึงมีน้ำหนักกด ซึ่งแต่ละพื้นที่จะไม่เท่ากัน บริเวณที่มีน้ำหนักกดมากกว่าบริเวณโดยรอบจะเรียกว่า หย่อมความกดอากาศสูง และบริเวณตรงกันข้ามก็เรียกว่า หย่อมความกดอากาศต่ำ เมื่อหย่อมความกดอากาศต่ำหลาย ๆ หย่อมมาเรียงต่อกันบนแผนที่ในแนวนอน จะเรียกว่า ร่องความกดอากาศต่ำ โดยปกติ บริเวณที่อยู่ในแนวร่องความกดอากาศต่ำมักจะมีฝนตก กรมอุตุนิยมวิทยาจึงหันมาใช้คำว่า ร่องฝน แทน เพราะสื่อความง่ายกว่า
ส่วนบริเวณที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของหย่อมความกดอากาศสูงนั้นจะมีอากาศหนาว ซึ่งแบ่งระดับความหนาวตามอุณหภูมิได้ดังนี้
ต่ำกว่า ๘ องศาเซลเซียส > อากาศหนาวจัด
๘ – ๑๕.๙ องศาเซลเซียส > อากาศหนาว
๑๖ – ๑๗.๙ องศาเซลเซียส > อากาศค่อนข้างหนาว
๑๘ – ๒๒.๙ องศาเซลเซียส > อากาศเย็น
เมื่อพูดถึงอากาศร้อนก็มีระดับความร้อนเช่นกัน แบ่งเป็น
๓๕ – ๓๙ องศาเซลเซียส > อากาศร้อน
๓๙ องศาเซลเซียสขึ้นไป > อากาศร้อนจัด
ปัจจุบัน การพยากรณ์อากาศพยายามใช้ศัพท์ที่เข้าใจง่ายขึ้นในการสื่อสาร ขณะเดียวกัน ข่าวที่ออกตามสื่อโทรทัศน์และอินเตอร์เน็ต ก็มักใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกเพื่อช่วยรายงานสภาพอากาศให้มีความน่าสนใจขึ้น บ่อยครั้ง การรายงานข่าวมักทำในรูปแบบสรุป เราจึงเห็นสัญลักษณ์รูปเมฆฝน สายฟ้า ร่ม หรือดวงอาทิตย์ แทนการใช้ข้อความเพื่อบรรยายสภาพอากาศ
ภูมิปัญญาชาวบ้านกับการพยากรณ์อากาศ
คนยุโรปโบราณเชื่อว่า หากกบหรือเป็ดร้องเสียงดังติดต่อกันแล้วฝนจะตก ถึงขนาดเล่ากันว่ามีพ่อค้าหัวใสจับกบใส่กรง กรงละ ๓ ตัว มาขายให้กับลูกค้าโดยอ้างว่าใช้พยากรณ์อากาศได้
ชาวบ้านในชนบทของไทยก็มีวิธีทำนายสภาพอากาศง่าย ๆ โดยการสังเกตจากธรรมชาติ อาทิ หากเห็นมดย้ายรังขึ้นที่สูง หรือเห็นแมงเม่าบินเล่นไฟ แสดงว่าฝนกำลังจะตกในไม่ช้า นอกจากนี้ การออกดอกออกผลขอบต้นไม้แต่ละชนิดยังบ่งบอกถึงช่วงเวลาเปลี่ยนฤดูได้อีกด้วย การผลัดใบของต้นยางพาราก็บอกได้ว่าหน้าแล้งกำลังมาเยือน เป็นต้น
นอกจากจะสังเกตธรรมชาติเพื่อทำนายอากาศแล้ว คนไทยยังมีความเชื่อเรื่องการห้ามฝนฟ้าด้วยการปักตะไคร้อีกด้วย โดยเชื่อว่า หากหญิงบริสุทธิ์เป็นผู้ปักตะไคร้และอธิษฐานแล้ว วันนั้นจะไม่มีฝนตก
ความเชื่อเรื่องนาคกับการพยากรณ์อากาศแบบโบราณ
คนไทยมีความเชื่อเรื่องนาคกันมาตั้งแต่โบราณ และยอมรับกันโดยทั่วไปว่านาคมีความเกี่ยวข้องกับฝน มีการกล่าวถึงเสมอว่าปีนี้มีนาคให้น้ำกี่ตัว และฝนจะตกกี่ห่า
จำนวนนาคที่ให้น้ำในแต่ละปีนั้นจะต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าตรงกับปีนักษัตรใด เช่น ปีวอก จะมีนาคให้น้ำ ๔ ตัว หากเป็นปีระกาจะมีนาคให้น้ำ ๖ ตัว เป็นต้น จำนวนนาคที่มาให้น้ำก็มีตั้งแต่ ๒ – ๘ ตัว ว่ากันว่า ปีใดที่พญานาคให้น้ำหลายตัว ปีนั้นฝนจะตกน้อย เพราะนาคมัวเกี่ยงกัน
ที่จริงแล้ว น้ำฝนตกลงยังสถานที่ต่าง ๆ อันได้แก่ เขาสัตตบริภัณฑ์และมหาสมุทร ป่าหิมพานต์ และโลกมนุษย์นั้น เกิดจากการลงเล่นน้ำของนาคในสีทันดรสมุทร เมื่อนาคลงเล่นน้ำในสีทันดรก็จะพ่นน้ำในทะเลเล่น ฟองคลื่นที่กระเซ็นขึ้นสู่อากาศก็จะถูกลมหอบไปพรมลงยังสถานที่ต่าง ๆ และส่วนหนึ่งก็ตกลงมายังโลกมนุษย์
เมื่อดูจากจำนวนห่าทั้งหมดที่ตกก็คือ ๒๐๐ ถึง ๕๐๐ ห่านั้น ส่วนที่ตกมายังโลกมนุษย์ เป็นส่วนที่น้อยเหลือเกิน หากปีนั้นฝนตก ๒๐๐ ห่า ลมก็จะหอบมาตกยังโลกมนุษย์เพียง ๓๖ ห่า แม้แต่ปีที่มีฝนมากที่สุดถึง ๕๐๐ ห่า ก็จะตกยังโลกมนุษย์เพียง ๙๒ ห่าเท่านั้น
ห่าหนึ่งก็เท่ากับ ฝนตกเต็มหนึ่งบาตรพระ หากจะวัดเป็นปริมาณตามมาตรวัดปัจจุบันก็คงจะอยู่ในเกณฑ์ที่ฝนตกหนักมาก ( มากกว่า ๙๐ มิลลิเมตร )
เรื่องราวของ “นาค” ให้ฝนนั้นซึมซับเข้าไปในประเพณีต่าง ๆ ไม่ว่าจะขุดบ่อน้ำ ขุดเสาเรือน นอกจากจะบอกกล่าวแม่พระธรณีแล้ว ยังจะต้องบอกกล่าวไปยังนาคานาคน้ำอีกด้วย
พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พ.ศ. ๒๕๖๕
พระราชพิธีดังกล่าวมีขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๕ โดยพระยาแรกนา คือ นายทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสี่ยงทายผ้านุ่งไปประกอบพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ได้ผ้านุ่งความกว้าง ๔ คืบ พยากรณ์ว่า น้ำจะมาก นาในที่ดอนจะได้ผลบริบูรณ์ดี นาในที่ลุ่มอาจจะเสียหายบ้าง ได้ผลไม่เต็มที่
การเสี่ยงทายพระโคกินเลี้ยง จะมีการนำอาหาร 7 สิ่ง ได้แก่ ข้าวเปลือก ข้าวโพด น้ำ หญ้า ถั่ว งา และเหล้า ในปีนี้ พระโคทั้งสองกินน้ำ หญ้า ถั่ว และเหล้า พยากรณ์ว่า น้ำท่าจะบริบูรณ์ ธัญญาหาร ผลาหาร ภักษาหาร มังสาหาร จะอุดมสมบูรณ์ดี การคมนาคมสะดวกขึ้น การค้าขายกับต่างประเทศดีขึ้น ทำให้เศรษฐกิจรุ่งเรือง สำหรับพระโคที่ใช้ประกอบพิธีแรกนาขวัญครั้งนี้ ได้แก่ พระโคพอ และพระโคเพียง