เราทุกคนล้วนเคยประสบกับสถานการณ์ตึงเครียดในที่ทำงาน คนทั่วไปใช้เวลาประมาณ 1 ใน 3 ของชีวิตในที่ทำงาน นั้นหมายถึงที่ทำงานคือส่วนหนึ่งของชีวิตทั้งชีวิตของคุณ ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับความเครียด ยังมีข้อมูลอีกว่าพนักงานมากกว่า 1 ใน 10 คน ขาดงานเนื่องจากความวิตกกังวล อาการซึมเศร้า หรือความเหนื่อยหน่าย ส่วนหนึ่งมากจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ความคาดหวังในการทำงานและชีวิต การจัดการปัญหาด้านสุขภาพ และค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยด้านประชากร คนรุ่น Gen-Z มีแนวโน้มที่จะลาออกมากขึ้น โดยเหตุจากความกังวลด้านสุขภาพจิต พวกเขายังเต็มใจที่จะหารือเกี่ยวกับสุขภาพจิต เข้าพบจิตแพทย์ แต่คาดหวังให้นายจ้างปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนเป็น “คน ๆ หนึ่ง” ไม่ใช่แค่พนักงานเท่านั้น ความคิดเห็นของพวกเขาก็มีความสำคัญและอยากให้นายจ้างรับฟังพวกเขามากขึ้น
สำหรับ First Jobbers ที่ต้องการเพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีด้านสุขภาพจิตในที่ทำงาน นี่คือแนวทางที่สามารถปรับใช้ได้
- พักกลางวันให้เต็มที่: หยุดพักในช่วงเวลากลางวันเพื่อรีเฟรชตัวเอง แม้ในวันที่งานยุ่งก็พยายามหาเวลาพักบ้าง งีบสัก 10 นาทีกำลังดี จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในช่วงบ่ายได้ดีขึ้น.
- จัดกิจกรรมกลุ่ม: หากมีพื้นที่สีเขียวใกล้ที่ทำงาน ลองจัดกิจกรรมกับเพื่อน ๆ ที่ทำงาน นอกจากจะเพิ่มความสดชื่นกับการอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ได้ออกกำลังกาย แล้วยังเป็นการสร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนร่วมงาน
- ตั้งเป้าหมายและความท้าทาย: ในการเริ่มต้นเข้าทำงาน ควรมีการตั้งเป้าหมาย ทั้งขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก เช่นงานที่คุณจะเคลียร์ในแต่ละวัน แต่ละวีค ความคืบหน้าโปรเจคที่ควรจะคืบหน้าในช่วง 1 เดือน 3 เดือน พยายามตั้งเป้าหมายใหญ่ และแบ่งย่อยเป็นงานเล็ก ๆ ให้รู้สึกว่าเราได้เคลียร์ mission ได้ในทุก ๆ วัน
- หากิจกรรมสันทนาการ: การเข้าร่วมกิจกรรม เช่นการเดินหรือวิ่งการกุศลสามารถช่วยให้พนักงานได้ออกไปเจอคนหลากหลายกลุ่ม ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และรู้จักผู้คนมากขึ้น หรือเข้าร่วมกิจกรรมที่ตรงกับงานอดิเรกที่คุณชอบ
- สร้างสมดุลระหว่างงาน: พยายามอย่าให้การทำงานล้นออกไปสู่ชีวิตส่วนตัว หากต้องทำงานที่บ้าน ให้กำหนดพื้นที่เฉพาะสำหรับการทำงานเพื่อช่วยให้สามารถแยกงานออกจากการใช้ชีวิตส่วนตัวได้
- จัดลำดับความสำคัญงาน: ทำรายการสิ่งที่ต้องทำและตรวจสอบทุกวันก่อนเลิกงานจะช่วยให้จัดการงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเครียดได้
- การสนับสนุนจากที่ทำงาน: บริษัทสามารถสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อต่อการส่งเสริมสุขภาพจิตได้ เช่นการเอื้อให้มีสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน ทรัพยากรที่พร้อมในการส่งเสริมสุขภาพจิต และการสร้างแวดล้อมที่เปิดกว้างสำหรับการพูดคุยทั่ว ๆ ไป รวมถึงปัญหาสภาพจิตใจ
- ขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ: องค์กรควรมีบริการให้พบจิตแพทย์ในราคาเข้าถึงได้ หรือฟรีหากสามารถดูแลค่าใช้จ่ายไหว รวมไปถึงการจัดอบรมเพื่อเพิ่มความเข้าใจและทักษะในการจัดการปัญหาสุขภาพจิต
ที่มา
linkin : How to Boost Your Workplace Wellbeing in 2024: Join Us for an Exclusive Event
Mental health first aid : 10 Tips to Boost Wellbeing in the Workplace in 2024
