บทความโดย อาจารย์ธีรวัฒน์ กล่าวเกลี้ยง (หัวหน้าสาขาวิชาภาษาไทย สำนักวิชาศิลปศาสตร์)
ช่วงนี้มีฝนตกบ่อย แทบจะทุกภาคของประเทศ การติดตามข่าวพยากรณ์อากาศอาจช่วยให้เราสามารถรับมือกับสภาพดินฟ้าได้ไม่มากก็น้อย การพยากรณ์อากาศนับว่ามีความสำคัญมาก โดยเฉพาะกับประเทศเกษตรกรรมอย่างไทย หรือสำหรับนักท่องเที่ยวเวลาจะเดินทางไปไหนก็ต้องมั่นใจว่าที่นั่นปลอดโปร่ง ไร้เมฆฝน ไม่เช่นนั้นการพักร้อนอาจกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อไปได้ง่าย ๆ เพราะไม่ตรวจสอบสภาพอากาศให้ดี นักบินและนักเดินเรือก็เช่นกัน อาชีพเหล่านี้ต้องติดตามการพยากรณ์อากาศอยู่เสมอ เพราะทุกครั้งที่ปฏิบัติงานท่ามกลางสภาพอากาศต่าง ๆ ย่อมหมายถึงความปลอดภัยในชีวิตของตนเองและผู้ร่วมเดินทางด้วยกันทั้งสิ้น
ข่าวพยากรณ์อากาศปรากฏตามสื่อต่าง ๆ แทบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ หรือแม้แต่อินเตอร์เนตก็สามารถรายงานสภาพอากาศได้อย่างฉับไว อย่างไรก็ดี เมื่อการจัดอันดับความนิยมในการติดตามข่าวต่าง ๆ ของประชาชน ปรากฏว่า ข่าวพยากรณ์อากาศมักติดอับดับรั้งท้ายเสมอ ผู้รู้หลายท่านพยายามอธิบายปรากฎการณ์ดังกล่าว พบข้อสรุปที่สอดคล้องกันอยู่สองประเด็นคือ ๑) ข่าวพยากรณ์อากาศมีความคลาดเคลื่อน รายงานว่าฝนจะตกก็ไม่ตก รายงานว่าไม่มีฝนก็กลับมีฝนตกลงมาเสียอย่างนั้น และ ๒) ข่าวพยากรณ์อากาศอุดมด้วยศัพท์วิชาการที่เข้าใจยาก
ในประเด็นแรกนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจไม่น้อย เพราะประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อน ซึ่งมีความแปรปรวนของอากาศสูง แค่ลมร้อนกับลมหนาว (จริง ๆ คือลมที่ร้อนน้อยกว่าลมอันแรกนิดหนึ่ง) ปะทะกัน ก็เกิดพายุฤดูร้อนขึ้นได้ง่าย ๆ ขณะที่พวกยุโรปหรืออเมริกาที่มีความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี จนได้ชื่อว่าพยากรณ์อากาศได้แม่นยำ ทั้งนี้ก็เพราะเนื้อที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตอบอุ่นขึ้นไปถึงเขตหนาว ความแปรปรวนของอากาศจะน้อยกว่า ว่ากันว่าถ้านักอุตุนิยมวิทยาฝรั่งต้องมาพยากรณ์อากาศให้เมืองไทยก็คงปวดหัวเหมือนกัน
สำหรับประเด็นที่สองว่าด้วยศัพท์วิชาการนั้น ต้องยอมรับว่าการพยากรณ์อากาศถือเป็นศาสตร์เฉพาะแขนงหนึ่ง ศัพท์ที่ใช้จึงไม่ใช่คำที่เป็นที่เข้าใจในวงกว้าง ลองดูตัวอย่างต่อไปนี้
ท้องฟ้ามีเมฆมากปกคลุม และมีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป
กับมีฝนตกหนักบางพื้นที่
ฟังเผิน ๆ ก็ดูคล้ายจะเข้าใจ แต่เมื่อถามต่อไปว่า “เมฆมาก” นั้น มากแค่ไหน “ฝนฟ้าคะนอง” กับ “ฝนตกหนัก” เหมือนกันหรือไม่ คำว่า “เกือบทั่วไป” กับ “บางพื้นที่” ต่างกันอย่างไร ถึงตอนนี้ก็รู้สึกว่าภาษาอุตุนิยมวิทยานั้นใช้สื่อสารได้ไม่ง่ายเสียแล้ว
ปริมาณเมฆบนท้องฟ้า
การอธิบายปริมาณเมฆบนท้องฟ้านั้น นักอุตุนิยมวิทยาจะสมมุติพื้นที่บนท้องฟ้าเป็น ๑๐ ส่วน หากมองขึ้นไปแล้วพบว่าไม่มีเมฆ หรือมีเมฆน้อยกว่า ๑ ส่วนก็จะเรียกว่า ท้องฟ้าแจ่มใส (fine) เมื่อเรียงลำดับปริมาณเมฆแล้วจะได้สภาพท้องฟ้ารูปแบบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
มีเมฆน้อยกว่า ๑ ส่วน > ท้องฟ้าแจ่มใส (fine sky)
เมฆ ๑ ส่วน ถึง ๓ ส่วน > ท้องฟ้าโปร่ง (fair sky)
เมฆมากกว่า ๓ ส่วนถึง ๕ ส่วน > เมฆบางส่วน ( partly cloudy sky )
เมฆมากกว่า ๕ ส่วนถึง ๘ ส่วน > เมฆเป็นส่วนมาก ( cloudy sky )
เมฆมากกว่า ๘ ส่วนถึง ๙ ส่วน > เมฆมาก (very cloudy sky )
เมฆมากกว่า ๙ ส่วนถึง ๑๐ ส่วน > เมฆเต็มท้องฟ้า (overcast sky )
ศัพท์อีกคำที่พบได้เสมอในข่าวพยากรณ์อากาศคือคำว่า ฟ้าหลัว (dry haze ) หมายถึง สภาพอากาศที่มีฝุ่นหรือควันปะปนอยู่ แต่ไม่หนาพอที่จะทำให้รู้สึกเป็นฝุ่น แต่ก็ทำให้ทัศนวิสัยลดลง เช่น ทิวเขามัวลง มองเห็นตึกไกล ๆ ในกรุงเทพฯ ไม่ชัด เป็นต้น โดยปกติทัศนวิสัยจะเห็นได้ไกลกว่า ๑๐ กิโลเมตรโดยประมาณ แต่ถ้าใกล้กว่านั้นก็สันนิษฐานว่าเพราะฟ้าหลัวนั่นเอง
ฝนฟ้าคะนอง
ฝนฟ้าคะนอง (thundery rain) หมายถึง ฝนที่ตกลงมาเป็นระยะ เดี๋ยวแรง เดี๋ยวค่อย มักจะมีฟ้าแลบ ฟ้าร้องร่วมด้วย ในความหมายกว้างจะรวมลูกเห็บและหิมะเข้าไปอีกกลุ่มหนึ่ง
สำหรับ ปริมาณน้ำฝน นั้น จะวัดจากจำนวนน้ำฝนที่ลงมาใน ๒๔ ชั่วโมงโดยอาศัยเครื่องวัดน้ำฝนเป็นเครื่องมือ หน่วยปริมาณน้ำฝนจะวัดความสูงเป็นมิลลิเมตรตามลำดับต่อไปนี้
น้อยกว่า ๐.๑ มิลลิเมตร > ฝนวัดจำนวนไม่ได้ (trace)
๐.๑ – ๑๐.๐ มิลลิเมตร > ฝนเล็กน้อย (slight rain)
๑๐.๑ – ๓๕.๐ มิลลิมตร > ฝนปานกลาง (moderate rain )
๓๕.๑ – ๙๐.๐ มิลลิเมตร > ฝนหนัก ( heavy rain )
๙๐.๑ มิลลิเมตรขึ้นไป > ฝนหนักมาก (very heavy rain )
นอกจากนี้ยังมีเกณฑ์การกระจายของฝน เพื่อบอกว่าฝนตกครอบคลุมพื้นที่มากน้อยเพียงใด โดยดูจากร้อยละของพื้นที่ดังนี้
< ร้อยละ ๒๐ ของพื้นที่ > บางแห่งหรือบางพื้นที่
> ร้อยละ ๒๐ < ร้อยละ ๔๐ > เป็นแห่ง ๆ
> ร้อยละ ๔๐ < ร้อยละ ๖๐ > กระจาย
> ร้อยละ ๖๐ < ร้อยละ ๘๐ > เกือบทั่วไป
> ร้อยละ ๘๐ > ทั่วไป
ลักษณะทะเล
ชาวเรือมักจะคุ้นเคยกับคลื่นลมเป็นอย่างดี ลักษณะทางทะเลต่อไปนี้อาศัยความสูงของคลื่นเป็นเกณฑ์
คลื่นสูงไม่เกิน ๐.๕ เมตร > ทะเลเรียบ
คลื่นสูงกว่า ๐.๕ เมตรถึง ๑.๒๕ เมตร > ทะเลมีคลื่นเล็กน้อย
คลื่นสูงกว่า ๑.๒๕ เมตรถึง ๒.๕ เมตร > ทะเลมีคลื่นปานกลาง
คลื่นสูงกว่า ๒.๕ เมตรถึง ๔ เมตร > ทะเลมีคลื่นจัด
คลื่นสูงกว่า ๔ เมตร ถึง ๖ เมตร > ทะเลมีคลื่นจัดมาก
คลื่นสูงกว่า ๖ เมตร ถึง ๙ เมตร > ทะเลมีคลื่นใหญ่
คลื่นสูงกว่า ๙ เมตร ถึง ๑๔ เมตร > ทะเลมีคลื่นใหญ่มาก
คลื่นสูงกว่า ๑๔ เมตร > ทะเลเป็นบ้า
ในทางปฏิบัตินั้นจะไม่ค่อยใช้ศัพท์เหล่านี้เพราะฟังไม่เข้าใจได้ทันที ผู้สื่อข่าวมักจะรายงานลักษณะทะเลโดยการระบุความสูงของคลื่นไปเลย เพื่อสื่อสารกับผู้ฟังอย่างตรงไปตรงมา