ทุกวันนี้ การช้อปปิ้งหรือซื้อของผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์กลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตที่โลกดิจิทัลหมุน รอบตัวเรา บางคนจับจ่ายใช้สอยผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ วันละหลายๆ ครั้ง ซึ่งสังคมไทยกำลังก้าว เข้าสู่ยุค Digital Commerce อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งสามารถพูดได้ว่าหากผู้ค้ารายใดไม่ปรับตัวให้ทันกับ ยุคสมัยไม่มีการค้าขายผ่านโลกออนไลน์ ก็อาจต้องล้มหายตายจากไปจากแวดวงธุรกิจในไม่ช้า เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ระบบออนไลน์เข้ามา ทดแทนการค้าขายในรูปแบบเดิม ทำให้เกิดความเคยชินใหม่ ๆ 3 ประเด็น ที่เกี่ยวพฤตกิรรมนักช้อปออนไลน์ ได้แก่ ความสะดวกรวดเร็ว ความง่าย และความเสี่ยง
เมื่อเรารู้ทันพฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไปจาก สภาพแวดล้อมของ Digital Commerce ที่เข้ามาสร้างระบบนิเวศอยู่รายล้อมรอบตัวเรา ดังนั้นเราจำเป็นจะต้องรู้วิธีที่จะไม่อยู่บนความเสี่ยงกับการจับจ่ายใช้สอยหรือซื้อสินค้าผ่าน แพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งมิจฉาชีพอาจมีวิธีการใน การหลอกลวงต้มตุ๋น หรือแฮกข้อมูล มากมาย หลายวิธี จนทำให้เรา ไม่ทันคิด
วิธีการที่จะแนะนำ คือการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมก่อนที่เหตุจะเกิด เพื่อลดความเสี่ยง เพิ่มความ รอบคอบ อันจะน ามาซึ่งความปลอดภัยใน ทรัพย์สินของเรา นักช้อปทั้งหลายจะได้ช้อปอย่าง สบายใจ ด้วย 6 ข้อแนะนำดังนี้
1. ไม่ควรผูกบัตรเครดิตไว้กับแพลตฟอร์มใดๆ เมื่อซื้อสินค้าหรือบริการผ่านระบบออนไลน์เสร็จสรรพ เรียบร้อย ก็ไม่ควรที่จะผูกบัตรเอาไว้เพื่อให้ตัดแบบ อัตโนมัติ ความเสี่ยงจะตามมาทันที ทั้งที่ตั้งใจและ ไม่ตั้งใจ นั่นหมายความว่าคุณอาจจะบังเอิญเผลอไปกด ซื้อสินค้าและบริการโดยไม่ได้ตั้งใจก็ต้องจ่ายเงินไปโดย ใช่เหตุ หากบังเอิญว่าเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มนั้น ถูกแฮกข้อมูลเลขบัตรเครดิตของคุณ พร้อมกับเลข CVV หรือเลขหลังบัตร โดยไม่รู้ตัว ยังไม่ทันได้ระงับบัตร เอาไว้ ความเสี่ยงก็จะตามมาถึงตัวคุณอย่างแน่นอน
2. ถ้าจำเป็นจะต้องผูกบัญชีให้ใช้ e-Wallet การช้อปด้วย e-Wallet เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีถ้า ต้องจ่ายบนระบบออนไลน์ เนื่องจากเราสามารถ ควบคุม การใช้จ่ายบน e-Wallet ได้ คือ เมื่อจะต้องจ่ายเงินค่าสินค้าก็ค่อยโอนเงินเข้าไปใน e-Wallet แล้วกดจ่าย เหลือเงินไว้ใน e-Wallet เพียงไม่กี่บาทก็พอ เมื่อต้องการจะใช้ครั้ง ต่อไปก็ค่อยโอนเงินเข้าไปใหม่
3. แยกบัญชีธนาคารเป็นบัญชีร้อน และบัญชีเย็นอย่างชัดเจน อีกวิธีหนึ่งของการบริหารความเสี่ยง ที่บางครั้งอาจจำเป็นต้องให้ระบบตัดบัญชีอัตโนมัติ เรา ควรจะแยกบัญชีธนาคารออกเป็นบัญชีร้อนและบัญชีเย็น
บัญชีร้อน ในที่นี้หมายถึง บัญชีที่เอาไว้จับจ่าย ใช้สอยเอาไว้ช้อปปิ้งหรือนำไปผูกบัญชีเพื่อใช้ในการตัด บัญชี ควรมีเงินคงเหลือไว้ในบัญชีเพียงหลักร้อยหรือ หลักพันก็พอ เมื่อไหร่ที่ต้องการใช้ก็ค่อยโอนเข้าไปเป็น ครั้งคราว ไม่ควรจะเป็นบัญชีเงินเก็บที่มีเงินอยู่มากๆ ไม่เหมาะสำหรับการผูกบัญชีกับบัตรเดบิต
บัญชีเย็น หมายถึงบัญชีเงินเดือน บัญชีเงินเก็บที่มีเงินอยู่มาก พอสมควร ไม่ควรที่จะนำไปผูกกับการชำระเงินใดๆ ด้วยหลักการนี้จะช่วยบริหารความเสี่ยงได้
4. ตั้งค่าวงเงินการโอนต่อวันใน แอป Mobile Banking โดยการตั้งค่ายอดการโอนใน แต่ละวันให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน ของคุณ แต่หากวันไหนต้องใช้วงเงินสูงขึ้นก็เข้าไปตั้งค่า ใหม่ เมื่อใช้เสร็จวันรุ่งขึ้นก็กลับไปตั้งค่ายอดเดิม ถ้ามีโอกาสทำเสียตั้งแต่นาทีนี้ จะช่วยให้คุณลดความ เสี่ยงลงได้
5. การชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ให้ เลือกใช้ บัตรเครดิตก่อนถ้าเป็นไปได้ ควรมีการใช้ผ่าน OTP ด้วย ถ้าต้องชำระเงินผ่านเว็บไซต์หรือระบบออนไลน์ให้ เลือกใช้บัตรเครดิตเป็นอันดับแรก เนื่องจากว่ายังมีเวลา รอคอยที่จะต้องชำระจริง และอาจสามารถระงับการใช้ จ่ายนั้นได้ในกรณีที่เราไม่ได้ใช้ ถ้าใช้บัตรเดบิตก็เสมือนการใช้เงินสด ที่ต้องชำระทันที เราไม่สามารถที่จะระงับการใช้จ่ายใดๆ ได้เลย
6. ตั้งค่าการใช้จ่ายในแอปของ บัตรเครดิต คุณสามารถตั้งค่าควบคุมการใช้จ่ายต่างๆ ในแอปของบัตรเครดิตได้ เช่น ตั้งค่ายอดใช้จ่ายสูงสุดต่อวัน ตั้งค่ายอดใช้จ่ายสูงสุดต่อครั้ง ตั้งค่าจำนวนครั้ง สูงสุดต่อวัน และเมื่อต้องการใช้วงเงินมากกว่าที่ตั้งไว้ หรืออยากจะเปลี่ยนการระงับการใช้บัตรก็สามารถเข้าไปตั้งค่าใหม่ ตามบัตรได้ตามวงเงิน ที่ต้องการใช้ได้ในทันที
จากความเสี่ยง 6 ข้อแนะนำข้างต้น จะช่วยเพิ่มความมั่นคงปลอดภัย ในโลก Digital Commerce และจะสามารถลดความเสี่ยง โดยเราจะ“ รู้ทันพฤติกรรม กับ ฉลาดช้อป ” ดังนั้นเราต้องเปลี่ยนตัวเองตั้งแต่วันนี้ และชักชวนคนในครอบครัว เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ มาร่วมกันเรียนรู้ เพื่ออนาคตที่จะเราจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับเทคโนโลยีใหม่ๆ ต่อไป
อ้างอิง :
- PRINYA@ACISONLINE.NET
ผู้เขียน : นางจุฑารัตน์ ธานีรัตน์
รักษาการแทนหัวหน้าหน่วยตรวจสอบภายใน
หน่วยตรวจสอบภายใน
